วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การท่องเที่ยวสวีเดน

การเดินทางไปสวีเดน
ผู้เดินทางสามารถจองตั๋วเครื่องบินเดินทางโดยสายการบินไทยบินตรงเข้ากรุงสต๊อกโฮล์ม (Stockholm) ได้

สถานที่เที่ยวสวีเดน
สวีเดนนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอันสวยงามไม่แพ้ประเทศใดในแถบสแกนดิเนเวียแล้ว สวีเดนยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความผูกพันอันแน่นแฟ้นดุจเครือญาติกับประเทศไทยด้วยมีสถานที่หลายแห่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือน
กรุงสต๊อกโฮล์ม (Stockholm) เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ไม่ควรเลยผ่าน เพราะนอกจากจะเป็นเมืองหลวงที่งดงามแห่งหนึ่งของโลก โดยมีเกาะใหญ่น้อยในโอบล้อมของทะเลบอลติกและทะเลสาบมาลาเรน (Lake Malaren)



ทะเลสาบมาลาเรน (Lake Malaren)

แล้วยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พิพิธภัณฑ์วาซา (Vasamuseet หรือ Vasa Museum) ซึ่งเก็บรักษาเรือรบโบราณที่จมลงระหว่างการเดินทางออกทะเลเมื่อปีค.ศ. 1628 และจมอยู่ใต้ทะเลมานานกว่า 33 ปี

พิพิธภัณฑ์วาซา (Vasamuseet หรือ Vasa Museum)


ซากเรือรบโบราณที่จมลงระหว่างการเดินทางออกทะเลเมื่อปีค.ศ. 1628
ศาลาว่าการเมือง (Stadshuset หรือ City Hall) ผลงานการออกแบบของรังนาร์ ออสเบิร์ก (Rangnar Ostberg) ก่อด้วยอิฐถึง 8 ล้านก้อนและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องโมเสกกว่า 19 ล้านชิ้น ขัดผิวหน้าเรียบ และเคลือบด้วยทองคำ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 12 ปี ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่จัดงานมอบรางวัลโนเบลในเดือนธันวาคมของทุกปี

ศาลาว่าการเมือง (Stadshuset หรือ City Hall)


ผลงานการออกแบบของรังนาร์ ออสเบิร์ก (Rangnar Ostberg)
และย่านเมืองเก่าในเขตกัมลาสตัน (Gamla Stan) ซึ่งเต็มไปด้วยที่อยู่อาศัยสมัยโบราณของศตวรรษที่ 13 ที่ยังคงรักษาสภาพอาคารบ้านเรื่อนได้อย่างดี พร้อมสำหรับการเดินทางย้อยสู่อตีดอันรุ่งเรือง

เมืองเก่ากัมลาสตัน (Gamla Stan)
ฤดูแห่งการท่องเที่ยวของสวีเดน
ธันวาคม-มกราคม เทศกาลแห่งความสุขช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ในแถบขั้วโลกเหนือ มีโอกาสชมแสงออโรร่าทางตอนเหนือของประเทศ
กุมภาพันธ์-เมษายน ร่วมกิจกรรมฤดูหนาวในแลปแลนด์ หรือชมโรงแรมน้ำแข็งที่คิรูนา
ปลายเดือนพฤษภาคม-ต้นเดือนสิงหาคม ปรากฏการณ์แห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืนทางตอนเหนือ
กันยายน-พฤศจิกายน ชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี

วิธีการท่องเที่ยว
หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวสวีเดนให้ครบ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ควรใช้เวลาในการเดินทางโดยทั้งสิ้น 8-10 วัน แต่หากต้องการท่องเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้
- กรุงสต๊อกโฮล์ม (Stockholm) และเมืองรอบๆ ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เมืองซุนด์สวาล (Sundsvall) และเขตรากุนดา (Ragunda) ตามรอยเสด็จประพาสของสมเด็จพระปิยะมหาราช ชมพระบรมราชานุสรณ์ที่เมืองบิสโกเด้น (Bispgarden) ควรใช้เวลาประมาณ 2-4 วัน
- เมืองเซเลฟทิโอ (บ้านซานตาคลอส) สัมผัสกิจกรรฤดูหนาว ควรใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
- เมืองคิรูนา ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็นแบบขั้วโลกเหนือในโรงแรมน้ำแข็ง ช่วงฤดูหนาว ควรใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การท่องเที่ยวเดนมาร์ก

การเดินทางไปเดนมาร์ก
ผู้เดินทางสามารถจองตั๋วเครื่องบินเดินทางโดยสายการบินไทยบินตรงเข้ากรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen) ได้


สถานที่เที่ยวเดนมาร์ก
การเดินทางเยือนเดนมาร์กจึงมักจะเริ่มต้นที่กรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen) นครหลวงและบ้านของฮันส์ แอนเดอร์สัน นักเล่านิทานอันโด่งดัง นอกจากนั้นจะต้องแวะเก็บภาพที่ระลึกกับเงือกน้อย (The Little Mermaid) สัญลักษณ์แห่งกรุงโคเปนเฮเกนแล้ว ไม่ควรพลาดการเยี่ยมชมพระราชวังอะมาเลียนบอร์ก (Amalienborg) ที่ประทับของราชวงศ์เดนมาร์กและพระราชวังคริสเตียนบอร์ก (Christianborg) อีกทั้งอาคารบ้านเรือนสไตล์เดนมาร์ก ซึ่งนอกจากจะมีความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมพื้นถื่นแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ในแง่ของการเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ที่สะท้อนผ่านสิ่งปลูกสร้างที่อยู่รายล้อม


พระราชวังอะมาเลียนบอร์ก (Amalienborg)

พระราชวังคริสเตียนบอร์ก (Christianborg)
สำหรับนักช้อปและนักชิม ไม่ควรมองข้ามการเดินทางสัมผัสถนนสายช้อปปิ้งที่ยาวที่สุดในยุโรปอย่างสโตรเกต หรือสตรอยก์ (Strogen) ซึ่งนอกจากจะมีสินค้าสไตล์แดนิชคุณภาพสูงให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจแล้ว ยังมีร้านขนมและคอฟฟี่ช็อปขนาดย่อมเรียงรายอยู่มากมาย ให้ลองแวะจิบช็อกโกแลตร้อนแกล้มขนมอบสไตล์เดนมาร์ก หรือแดนิชเพสตรี้ (Danish Pastry)


ฤดูแห่งการท่องเที่ยวของเดนมาร์ก
ธันวาคม-มกราคม เทศกาลแห่งความสุขช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ในกรุงโคเปนเฮเกน เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย

กุมภาพันธ์-เมษายน อากาศจะอบอุ่นกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย ไม่หนาวเกินไป

ปลายเดือนพฤษภาคม-ต้นสิงหาคม ชมความงามของเมืองต่างๆ รวมทั้งคาบสมุทรจัตแลนด์

กันยายน-พฤศจิกายน ชมความงามของฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสี


วิธีการท่องเที่ยว
หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวเดนมาร์กให้ครบ จากเหนือจรดใต้ควรให้เวลาประมาณ 7-8 วัน แต่หากต้องการเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้
- กรุงโคเปนเฮเกนและเมืองรอบๆ เช่น รอสไคลด์ และสะพานเอือร์ซึ่น(Oresund Bridge) ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน

สะพานเอือร์ซึ่น(Oresund Bridge)
- เมืองโอเดนส์ (เมืองบ้านเกินของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน) ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เมืองสกาเกน (ดินแดนเหนือสุดของประเทศ) รวมออร์ฮุส ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เมืองบิลุนด์ ต้นกำเนิดแห่งตัวต่อเลโก้ (LEGO) ควรใช้เวลาประมาณ 1 วัน

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นอร์เวย์ แห่งสแกรนดิเนเวีย

นอร์เวย์ พระเอกตัวจริงแห่งสแกรนดิเนเวีย

นอร์เวย์เป็นประเทศที่หลากหลาย มีความงามทางธรรมชาติมากมายไม่ว่าจะเป็นฟยอร์ดหรือกลาเซียร์ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่เหนือจรดใต้


ทำไมจึงเรียกว่า พระเอกตัวจริงแห่งสแกรนดิเนเวีย?
ที่เรียกว่า พระเอกตัวจริงแห่งสแกนดิเนเวีย เพราะเป็นประเทศที่สามารถชมและสัมผัสกับธรรมชาติในฤดูหนาวได้ง่ายที่สุดในดินแดนทั้งหมดแถบสแกนดิเนเวียและซีกโลกทางเหนือ ส่วนในฤดูร้อนก็เป็นจุดชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้สวยงามและสะดวกที่สุด เพราะมีจุดเหนือสุดของโลกที่สามารถเดินทางไปถึงได้ด้วยรถ ไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปลง ที่อยู่บริเวณแหลมเหนือหรือนอร์ทเคป (North Cape) จุดเหนือสุดของยุโรป ซึ่งผู้คนจากทั่วโลกจะไปชมกันในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฏาคม แต่พอเปลี่ยนฤดูกาลก็มีแสงออโรร่าหรือแสงเหนือให้ชมเต็มๆ ได้ในโซนเดียวกัน ในพื้นที่เดียวกัน เพียงแต่ต่างช่วงเวลา เรียกว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ลงตัวในทุกฤดูกาลเลยทีเดียว


นอร์ทเคป (North Cape)

ถ้าพูดถึงผู้คนทางแถบสแกนดิเนเวียจะเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรีดีมากๆ ความรู้สึกที่มีกับคนนอร์เวย์จะคล้ายกับผู้คนทางแถบภาคเหนือ หรือคนที่อาศัยในแถบชนบทของบ้านเรา ที่มีน้ำใจไมตรีที่ดีมากๆ พอได้เห็นทัศนียภาพที่สวยงาม ผู้คนที่เป็นมิตรและยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวเอเชีย โดยเฉพาะคนไทยที่เดินทางไปถึงนอร์เวย์ตั้งแต่สมัยร้อยกว่าปีมาแล้ว คือในสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสนอร์เวย์ พวกเขาก็เลยมีความรู้สึกที่ดีกับคนไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ความโดดเด่นฝนแง่ของวัฒนธรรมและศิลปะต่างๆที่ชาวนอร์เวย์สร้างออกมา อย่างโบส์ วิหาร หรือ Stave Church ซึ่งเป็นโบส์ไม้สไตล์ไวกิ้งโบราณ กลับมีลัษณะคล้ายกับโบส์ทางเหนือของไทยใหญ่อย่างทางบ้านเราจะมีช่อฟ้า ทางนอร์เวย์จะเป็นรูปหัวมังกร


โบส์ Stave Church

ไฮไลต์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของนอร์เวย์คือ ฟยอร์ด (Fjord) ที่เกิดจากธารน้ำแข็งหรือที่เรียกว่ากลาเซียร์ (Glacier) ไหลลงมาทับถมกันเป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปี แล้วดันภูเขาออกไปเป็นร่องน้ำ มีน้ำเข้ามาแทนที่เป็นอย่างนี้อยู่ชัวร์นาตาปี ฟยอร์ดที่ยาวและที่ลึกที่สุดในปนะเทศนอร์เวย์ ชื่อว่าซอกเนอฟยอร์ด (Sognefjord) และเป็นฟยอร์ดที่ใหญ่โตเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีขนาดกว้างยาว 200 กิโลเมตร


ซอกเนอฟยอร์ด (Sognefjord)

ส่วนฟยอร์ดที่สวยไม่แพ้กันอีกแห่งหนึ่งคือ เกรังเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) เป็นฟยอร์ดที่มีความยาว 15 กิโลเมตร ท่ามกลางธรรมชาติที่บริสุทธิ์และสวยงามขนาดที่ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลก


เกรังเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord)

ไฮไลต์อีกอย่างหนึ่งของนอร์เวย์สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวคือการเดินทางด้วยเส้นทางรถไฟสายฟลอม (The Flam Railway) หนึ่งในเส้นทางสวยงามและมีความสูงชันที่สุดในโลก


รถไฟสายฟลอม (The Flam Railway)

ปัจจุบันสถานที่หลายที่หลายแห่งในนอร์เวย์ รวมทั้งเบอร์เกน ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลก และได้รับการดูแลรักษาไว้อย่างดี

ทุกเมืองในนอร์เวย์ล้วนแต่มีความสวยงาม เนื่องจากมีภูเขาฟยอร์ด กลาเซียร์ มีทุกอย่างที่เรียกได้ว่าค่อนข้างครบ แต่หาพื้นที่ราบยาก เลยทำให้มีอุโมงค์ยาวที่สุดในโลก โดยมีความยาวประมาณ 23 กิโลเมตร เจาะทะลุผ่านภูเขาไม่รู้กี่ลูกเพื่อไปโผล่อีกด้านหนึ่ง

นอกจากนอร์เวย์จะเป็นประเทศที่ขุดอุโมงค์เจาะทะลุภูเขาเก่งมากแล้ว ยังสร้างอุโมงค์ลอดใต้ทะเล ซึ่งอยู่เหนือสุดของโลกได้อีกด้วย โดยอุโมงค์ที่ว่าอยู่ที่คาฟยอร์ด (Kafjord) เป็นอุโมงค์ลอดใต้ทะเล แล้วไปโผล่อีกด้านที่ฮอนนิ่งสวัก (Honningsvag) ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ก่อนที่จะถึงนอร์ทเคป (North Cape)


ฮอนนิ่งสวัก (Honningsvag) ชุมชนที่ตั้งอยู่เหนือสุดที่จะก่อนถึงนอร์ทเคป

ในนอร์เวย์มีที่พักที่โดดเด่น ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Holmenkollen Park Hotel Rica เป็นโรงแรมบนเขา ชานกรุงออสโล วิวสวยมาก ส่วนใหญ่จะเต็มตลอด เป็นโรงแรมสไตล์นอร์วีเจียนไวกิ้ง (Norwegian Viking) แบบดั้งเดิม ส่วนอีกปีกหนึ่งออกแบบเข้ากับสมัยนิยม และทำทั้งสองส่วนเชื่อมกันได้อย่างงดงาม เหมาะแก่การพักผ่อน


Holmenkollen Park Hotel Rica

ส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ใกล้กับกลาเซียร์ ชื่อว่า โรงแรมอเล็กซานดร้า (Hotel Alexandra) เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงในแถบนั้น ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างฟยอร์ดกับกลาเซียร์ มองเป็นท้องน้ำเป็นสีเทอร์ควอยส์หรือสีเขียวอมฟ้าจากฟยอร์ด ซึ่งเป็นสีน้ำที่จะไม่เหมือนฟยอร์ดที่อื่นๆ มีอยู่ที่เมืองแห่งนั้แห่งเดียว และเราก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากโรงแรมนี้ ถือเป็นไฮไลต์ของที่พักเลยก็ว่าได้


โรงแรมอเล็กซานดร้า (Hotel Alexandra)

กิจกรรมเด็ดๆ ในนอร์เวย์ที่ขาดไม่ได้มีอีกหลายอย่าง อย่างแรกคือสกีจัมป์ (Ski Jump) แต่คงคงจะตื่นเต้นไปสักหน่อยสำหรับนักสกีมือสมัครเล่นที่ยังเล่นไม่ค่อยเป็น แต่เขามีบริการซีมูเลเตอร์ จำลองลักษณะภายในให้เหมือนกับเราได้เล่นสกีจัมป์จริงๆ


Holmenkollen Ski Jump



ต่อไปจะกล่าวถึงสาธารณรัฐฟินแลนด์ ตอน “ฟินแลนด์ ที่สุดแห่งกิจกรรมฤดูหนาว”
ขอบคุณข้อมูลจาก มงคล กู้ประเสริฐ เรื่อง โชคดีที่ได้อ่าน และรู้ภาพจากเว็บไซย์

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Inder%C3%B8y-Sund-Straumen.jpg
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Sognefjord,_Norway.jpg
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Geirangerfjord.jpg
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Holmenkollen_ski_jump.jpg
http://org.uib.no/ssc11/

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เดนมาร์ก ดินแดนแห่งเทพนิยาย

เดนมาร์ก (Denmark) ถือเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย ซึ่งหลายคนคงจะพอรู้กันมาบ้างว่า เดนมาร์กนั้นเป็นบ้านเกิดของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Hans Christian Andersen) นักแต่งนิทานหรือนักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะเรื่องเงือกน้อย (The Little Mermaid) หรือลูกเป็นขี้เหร่ (The Ugly Duckling) ซึ่งคงจะเคยได้ยินได้ฟังกันสมัยเด็กกันบ้างแล้ว

ทำไมเดนมาร์กจึงเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย?
เทพนิยายเดนมาร์กไม่ได้มาจากฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน ที่เล่านิทานเป็นร้อยๆเรื่องอย่างเดียว แต่ด้วยสภาพบ้านเมืองก็เหมือนกับบ้านตุ๊กตา เป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ แทบทุกเมืองในเดนมาร์กจะมีหมู่บ้านลักษณะอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนก็จะสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป โดยบ้านเรือนเหล่านี้ไม่ได้ถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมาให้กลายเป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย แต่เป็นสภาพบ้านเรือนที่ชาวเดนมาร์กเขาอาศัยอยู่กันจริงๆ ทำให้เรารู้สึกราวกับว่ากำลังเดินเข้าไปอยู่ในนิทานที่สามารถสัมผัสได้เหมือนของจริง






บรรยากาศแบบเทพนิยายในเดนมาร์กที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็นเทพนิยายเรื่องเงือกน้อย คนส่วนใหญ่รู้จักเงือกน้อยมากกว่ารัฐบาลเดนมาร์กซะอีก ไม่ว่าจะป็นนายกฯ หรือแม้แต่บุคลสำคัญของประเทศ บางทีคนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักเลย แต่ถ้าพูดถึงเงือกน้อยหลายคนจะรู้ว่าเงือกน้อยเป็นรูปปั้นผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งอยู่ริมโขดหิน ตรงปลายแหลมเล็กๆ ชานกรุงโคเปนเฮเกน ถ้าใครมาโคเปนเฮเกนแล้วไม่ได้ไปเยี่ยมเงือกน้อย ก็เหมือนมาไม่ถึงโคเปนเฮเกนหรือไม่ถึงเดนมาร์ก



เงือกน้อยนั่งทอดสายตามองผืนน้ำริมอ่าวกรุงโคเปนเฮเกน

นอกจากนี้ตรงบริเวณคาบสมุทรจัตแลนด์ (Jutland) ที่อยู่ทางเหนือมีเมืองเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองสกาเกน(Skagen) เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุด และมีน้ำทะเล 2 สีมาบรรจบกัน ระหว่างทะเลเหนือกันมหาสมุทรแอตแลนติก และดินแดนบริเวณนี้ยังมีความสำคัญตรงที่เป็นดินแดนเหนือสุดของเดนมาร์ก ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จประพาสแล้วทรงปักธงเมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม พ.ส. 2450 หรือประมาณ 102 ปีมาแล้ว



คาบสมุทรจัตแลนด์ (Jutland) ที่มีน้ำทะเล 2 สีมาบรรจบกัน



เดนมาร์กเป็นดินแดนที่มีความสมดุลในเรื่องธรรมชาติ อาหาร และผู้คนอยู่ในประเทศเดียวกันหมด ทุกพื้นที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ด้วยความเป็นดินแดนหนึ่งในแถบสแกนดิเนเวียที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือมาก ทำให้การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในแต่ละฤดูกาล ไม่ว่าจะเดินทางไปเยือนในเดือนไหนก็รู้สึกถึงความแตกต่างโดยสิ้นเชิง จากหิมะขาวปกคลุมทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่ง พอหิมะเริ่มละลายดอกไม้ก็บานแทบจะพร้อมกันในขณะที่พอเข้าสู่เดือนกรกฏาคมจะมีปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือ Midnight Sun ให้เห็นกันเต็มๆ พอเข้าเดือนกันยายนใบไม้ก็เริ่มผลิแล้วเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ กระทั่งเข้าช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤษจิกายน หิมะก็จะเริ่มตกอีกครั้ง และมาพร้อมกับแสงออโรร่า หรือแสงเหนือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มาแทนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ที่ถึงแม้ว่ามืดและหนาว แต่ก็มีเสน่ห์มากๆ

เดนมาร์กเป็นต้นกำเนิดแห่งแดนิชเพสตรี้ (Danish Pastry) ขนมอบลไตล์เดนมาร์กที่มีลักษณะคล้ายพายแล้วมีไส้ตรงกลาง จะเป็นไส้ครีม ไส้สัปปะรด หรือไส้ผลไม้ต่างๆ ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้ พัฟฟ์ พาย หรือขนมอบทั้งหลาย ก็มีคุณค่าและอร่อยถูกปากหมดทุกอย่าง
















แดนิชเพสตรี้ (Danish Pastry) ขนมอบลไตล์เดนมาร์ก


เคยได้ยินฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์กใช่ไหม ที่นี่แหละต้นกำเนิดเดิม ด้วยความที่เดนมาร์กมีดินที่อุดมสมบูรณ์ และมีแร่ธาตุเยอะการทำเกษตรกรรมจึงได้ผลดี การเลี้ยงวัวเนื้อและวัวนมก็มีคุณภาพ ฉะนั้นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนม อย่างเบเกอรี่ทั้งหลายจะมีชื่อเสียงและอร่อยเรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่คนรักนมจะชอบมากๆ



อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ช็อกโกแลต ร้านที่นิยมไปทานกันบ่อยๆคือ ร้าลากลาซ (La Glace) ช็อกโกแลตอร่อยมาก เป็นช็อกโกแลตที่เข้มข้ม ผสมผงช็อกโกแลต มีวิปครีม และในเนื้อช็อกโกแลตจะมีกลิ่นของนมหอมมันในตัวเอง เป็นร้านที่เปิดมาร้อยกว่าปีแล้ว ตั้งอยู่ที่ถนนสโตรเกต หรือสตรอยก์ (Stroget) ที่นักท่องเที่ยวมักจะไปชิม โดยจะมีทั้งคุณยาย คุณป้า และคุณหลานมาช่วยกันขาย ซึ่งขายดีมาก ร้านจะเปิดทุกวันเว้นวันอาทิตย์


ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของเดนมาร์กคือ หลายแห่งยังมีชุมชนดั้งเดิมของชาวไวกิ้ง(Viking) อยู่ หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่าไวกิ้งไม่ได้มีอยู่แค่ในนอร์เวย์หรือสวีเดนเท่านั้นเหรอ แต่ในความจริงแล้ว เดนมาร์กก็ยังคงมีชุมชนชาวไวกิ้งอยู่มากมายเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นนอกจากจะได้สัมผัสกับดินแดนแห่งเทพนิยายแล้ว การเดินทางมาท่องเที่ยวยังเดนมาร์กยังได้ตามรอยไวกิ้งด้วย ซึ่งชาวไวกิ้งก็ถือได้ว่าเป็นชนพื้นเมืองที่มีอิทธิพลต่อชาวเดนมาร์กในสมัยนั้นพอควร แม้เดนมาร์กจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็สามารถเข้าปกครองไอซ์แลนด์หรือกรีนแลนด์ในสมัยนั้นได้


อย่างที่เมืองรอสไคลด์ (Roskilde) ก็จะมีซากเรือไวกิ้ง ซึ่งเป็นที่มาของตำนานต่างๆ ของชาวแดนนิชไวกิ้ง (Danish Vikings) หลงเหลืออยู่และยังคงเป็นเมืองที่มีชุมชนชาวไวกิ้งดั้งเดิมอาศัยอยู่ รอสไคลด์เป็นเมืองเก่าที่มีอยู่กว่า 1,000 ปีแล้ว โดยเคยเป็นทั้งศูนย์กลางของชาวไวกิ้งและเคยเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองระบอบกษัตริย์ และที่พักของผู้นำทางศาสนา ทั้งยังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารแห่งรอสไคลด์ (Roskilde Domkirke หรือ Roskilde Cathedral) สถานที่เก็บพระศพของกษัตริย์และราชวงศ์เดนมาร์ก มรดกโลกและสัญลักษณ์ชาวเดนมาร์ก



ซากเรือไวกิ้ง



มหาวิหารแห่งรอสไคลด์ (Roskilde Domkirke หรือ Roskilde Cathedral)


ทำไมสแกนดิเนเวียจึงเป็นประเทศที่ดีไซน์ของแต่งบ้านได้สวย?
ด้วยความที่ว่า เขามีฤดูหนาวอันยาวนาน ทำให้ต้องตกแต่งภายในบ้านให้สวย เพราะเขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านนานถึง 7 เดือนในเวลา 1 ปี ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาจะอยู่แต่ในบ้าน ของแต่งบ้านจึงต้องสวย ซึ่งจะทำให้ช่วงเวลาในการอยู่บ้านมีความสุข แม้ระยะเวลาจะยาวนานก็ตาม

และเหล่านี้คือเรื่องราวของเดนมาร์ก ที่หากมีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยวแล้ว ควรจะต้องไปชมกันให้ได้

โอกาสหน้าจะกล่าวถึง “นอร์เวย์ พระเอกตัวจริงแห่งสแกนดิเนเวีย”





ขอบคุณข้อมูลจาก มงคล กู้ประเสริฐ เรื่อง โชคดีที่ได้อ่าน และรู้ภาพจากเว็บไซย์

http://en.wikipedia.org/wiki/File:KarleboL.jpg
http://www.valkyri.org/?p=30
http://en.wikipedia.org/wiki/File:2004_07_31-L54_ubt.jpeg
http://en.wikipedia.org/wiki/Danish_(pastry)
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Ladbyskibet.jpg
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Roskilde_domkirke_west_fassade.jpg

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มารู้จักดินแดนในแถบสแกนดิเนเวียกัน

ว่ากันว่า นักเดินทางที่เลือกท่องเที่ยวแถบแสแกนดิเนเวียมักเดินทางมาแล้วค่อนข้างเยอะ เพราะคนที่เริ่มเที่ยวใหม่ๆ มักจะเริ่มแถบทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา แล้วก็ถึงจะไปยังประเทศอื่นๆ กว่าจะนึกถึงสแกรดิเนเวียก็มักจะเป็นการเดินทางครั้งที่ 5-6 หรือไปมาหลายๆประเทศจนเบื่อแล้วจึงจะนึกถึงสแกนดิเนเวีย

สแกนดิเนเวียมีอะไร?
คงเป็นคำถามที่หลายคนอยากหาคำตอบ และคำตอบที่มักจะได้ยินกันมาตลอดก็คงจะเป็นความมหัศจรรย์ในฐานะดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปตอนเหนือ โดยจะมีให้เห็นในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม







พระอาทิตย์เที่ยงคืน สามารถเห็นได้ชัดที่ประเทศนอร์เวย์ บริเวณแหลมเหนือ



นอกจากนี้ ดินแดนแถบสแกนดิเนเวียยังมีปรากฏการณ์แสงเรืองรองบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่มักจะเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลก เรียกว่า แสงออโรร่า (Aurora Borealis) หรือแสงเหนือ (Northern Lights) ซึ่งจะมีให้ชมในช่วงคืนเดือนมืด ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคมของทุกปี


แสงออโรร่า (Aurora Borealis) หรือแสงเหนือ (Northern Lights)


สแกรดิเนเวียไม่ได้มีดีเฉพาะพระอาทิตย์เที่ยวคืนอย่างเดียว สแกนดิเนเวียยังมีกิจกรรมต่างๆอีกมากมายให้ทำ ทั้งได้ขับสโนว์โมบิล ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน ล่องเรือตัดน้ำแข็ง ชมฟาร์มกวางเรนเดียร์ กวางมูส ฟาร์มสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ หรือการตามรอยตำนานซานตาคลอส ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแต่มีจุดกำเนิดมาจากขั้วโลกเหนือ และดินแดนทั้งหลายที่อยู่ใกล้บริเวณขั้วโลกเหนือซึ่งก็คือสแกนดิเนเวียนั่นเอง

โอกาสหน้าผมจะเล่าเรื่อง เดนมาร์ก(มากกว่าดินแดนแห่งเทพนิยาย) ให้ฟังครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก มงคล กู้ประเสริฐ และรูปภาพจากเว็บไซย์
http://en.wikipedia.org/wiki/North_Cape,_Norway
http://en.wikipedia.org/wiki/Aurora_(astronomy)