วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เที่ยวเมืองเพิร์ท ตอนที่2

จากตอนที่แล้วได้เล่าถึงสถานที่เที่ยวในเมืองเพิร์ท คือ คิงส์ปาร์ก, ลอนดอนคอร์ต, หอระฆังประจำเมือง และสวนสัตว์เพิร์ท คราวนี้จะเล่าถึงสถานที่เที่ยวอื่นๆที่น่าสนใจอีกครับ


การเดินทางไปเมืองเพิร์ท


สามารถจองตั๋วเครื่องบินสายการบินไทยบินตรงไปเมืองเพิร์ท (Perth) ได้


พิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียตะวันตก (Western Australia Museum)


พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์หลักของรัฐออสเตรเลียตะวันตก ตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1891 ปัจจุบันเป็นศูนย์วัฒนธรรมเพิร์ท (Perth Cultural Centre) ตั้งอยู่ เลขที่ 49 ถนนโบฟอร์ด พิพิธภัณฑ์เป็นที่เก็บรักษาข้อมูลกับเอกสารทางประวัติศาสตร์ของรัฐออสเตรเลียตะวันตก ประวัติการตั้งถิ่นฐานของคนผิวขาวในภูมิภาคนี้และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์กับชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์และพืชในท้องถิ่น รวมทั้งศิลปะและวัฒนธรรมของชาวอะบอริจินส์ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิม นอกจากนี้ยังเก็บรวบรวมหลักฐานร่องรอยของสัตว์โบราณ เช่น ไดโนเสาร์ ฯลฯ ที่พบในดินแดนฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย และยังมีซากสัตว์สตัฟฟ์กับก้อนอุกกาบาตขนาดใหญ่ หนัก 11 ตัน ตั้งแสดงอยู่ด้วย




พิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียตะวันตก


หอศิลป์ออสเตรเลียตะวันตก (Art Gallery Western Australia)


หอศิลป์แห่งนี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เพิร์ท ปัจจุบันประกอบด้วยอาคาร 4 หลังคือ Art Gallery, Library, Museum และ Centenary Gallery ในหอศิลป์มีผลงานสะสมชิ้นเยี่ยมๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ประติมากรรมภาพถ่าย ภาพพิมพ์ และงานฝีมืออื่นๆ ผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียง ทั้งศิลปินออสเตรเลียและศิลปินนานาชาติเอามาไว้มากถึง 16,500 ชิ้น สิ่งที่น่าสนใจคือศิลปะออสเตรเลียตะวันตกที่เกินจากการสร้างสรรค์โดยศิลปินชาวอะบอริจินส์จากเขตทะเลทราย (Central Desert) และอาร์นเฮ้มแลนด์(Arnhem Land) ตั้งแต่ปีค.ศ. 1829 จนถึงปัจจุบัน



หอศิลป์ออสเตรเลียตะวันตก

ศูนย์เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ (Scitech Discovery Centre)

ศูนย์เทคโนโลยีทางวิทย์ศาสตร์ที่เพิร์ทตะวันตก หรือไซเทค เป็นศูนย์การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ให้โอกาสผู้เข้าชมทำการทดลองด้วยตนเอง ตั้งแต่เปิดศูนย์ฯ เมื่อปีค.ศ. 1988 มีผู้เข้าชมแล้วเกือบ 2 ล้านคน ศูนย์ไซเทคเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร อยู่ได้ด้วยเงินกองทุนและเงินสนับสนุนจากรัฐบาล มีจุดประสงค์ให้ชาวออสซี่และชนทุกชาติมีความสนใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น


ศูนย์เทคโนโลยีทางวิทย์ศาสตร์ตั้งอยู่ที่ 1st Floor Railway Parade ตรงมุมถนนซุตเทอร์แลนด์(Sutherland Street) ในย่านเพิร์ทตะวันตก



ศูนย์เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์


โลกใต้น้ำแห่งออสเตรเลียตะวันตก(Aquarium of Western Australia)


อะควาเรียมออฟเวสต์เทิร์นออสเตรเลีย ซึ่งเดิมคือ Underwater World มีชื่อย่อๆว่า AQWA สถานที่นี้มีจุดเด่นคือการจำลองโลกใต้ทะเลให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์น้ำกับโลกใต้น้ำของฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียที่มีพื้นที่ยาวเยี่ยดมากกว่า 12,000 กิโลเมตร ได้จำลองโลกใต้ทะเลตั้งแต่ทะเลใต้ที่น้ำทะเลเย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง มาจนถึงทะเลเหนือที่น้ำทะเลอบอุ่นของฝั่งปะการัง AQWA เป็นโลกใต้ทะเลที่ใหญาที่สุดในออสเตรเลีย เป็นแหล่งศึกษาชีวิตสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ฝั่งทะเลตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก


AQWA อยู่ใกล้ท่าเรือฮิลลารีส์ เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 26.50 เหรียญ เด็ก 15 เหรียญ





โลกใต้น้ำแห่งออสเตรเลียตะวันตก

สิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดในเพิร์ท



  1. Ferry Trip นั่งเฟอร์รี่ข้ามแม่น้ำสวอนหรือนั่งเฟอร์รี่ล่องตามแม่น้ำไปฟรีแมนเทิล

  2. Kings Park ขึ้นไปชมวิวเมืองจากบนเขาคิงส์ปาร์ก พร้อมชมดอกไม้บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ

  3. Lake Monger ไปดูนกนานาชนิดและหงส์ดำในทะเลสาบมองเกอร์

  4. London Court ช้อปิ้งเสร็จแล้วคอยดูอัศวินขี่ม้าโผล่ขึ้นมาเหนือทางเข้าด้านหนึ่งของลอนดอนคอร์ต ขณะที่อีกด้านหนึ่ง นักบุญจอร์กำลังต่อสู้กับมังกร

  5. Markets เที่ยวตลาดนัดวันหยุดที่ฟรีแมนเทิล

  6. Northbridge ไปนั่งจิบกาแฟหรืออาหารอร่อยๆ ในภัตตาคารรับประทาน ใช้ชีวิตในค่ำคืนอย่างมีความสุข

  7. Perth Mint ชมโรงกษาปณ์ที่เก่าแก่มากที่สุดในออสเตรเลีย สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1899 แต่ยังทำหน้าที่ผลิตเงินตรามาจนถึงปัจจุบัน

  8. Perth Tram วิธีสำรวจเมืองอย่างมีสไตล์บนรถ 2 ชั่นเที่ยวรอบเมือง

  9. Scitech Discovery Centre นอกจากชมธรรมชาติสวยๆแล้ว เพิร์ทยังมีนิทรรศการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ชมกันด้วย

  10. Aquarium of Western Australia เพิร์ทมีโลกใต้ทะเลที่ให้โอกาสคุณได้เซย์เฮลโลกับปลาฉลาม พร้อมศึกษาชีวิตพืชและสัตว์ใต้ทะเลอย่างใกล้ชิด


เรื่องหน้าจะพาไปดูสถานที่เที่ยวนอกเมืองเพิร์ทกัน มีสถานที่เที่ยวน่าสนใจไม่แพ้ในเมืองเพิร์ทเลยครับ



ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซย์


http://www.museum.wa.gov.au/index.asp


http://en.wikipedia.org/wiki/Art_Gallery_of_Western_Australia


http://www.aqwa.com.au/main.asp


_______________________________________________



จองตั๋วเครื่องบิน
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=naenglencomputer
http://ryusky.exteen.com/
http://gotoknow.org/blog/ryusky
http://learners.in.th/blog/ryusky
http://ryuskyt.blog.mthai.com/

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เที่ยวเมืองเพิร์ท ตอนที่1

เมืองเพิร์ท(Perth)


เพิร์ท เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของรัฐออสเตรเลียตะวันตก เสน่ห์ของที่นี่มีอยู่ทุกมุมเมือง ทั้งทะเลภูเขาแม่น้ำ สวนพฤกษชาติหาดทรายชายทะเล บ้านเมืองที่สวยงามทันสมัย แหล่งช้อปปิ้งที่มีอยู่ทุกถนนและอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์


การเดินทางไปเมืองเพิร์ท


จากกรุงเทพ สามารถจองตั๋วเครื่องบินสายการบินไทยบินตรงไปเมืองเพิร์ท (Perth) ได้ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง


ประวัติคร่าวๆของเพิร์ท


เพิร์ทตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1829 แต่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำสวอนที่ค่อนข้างเงียบเหงาเติบโตอย่างเชื่องช้า เพราะพลเมืองซึ่งเป็นผู้อพยพมาอยู่ที่นี่จำนวนไม่มากนัก ประกอบกับอยู่ห่างไกลจากเมืองสำคัญของรัฐอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียมาก จนกระทั่งปีค.ศ. 1850 อังกฤษได้ส่งนักโทษเข้ามาอยู่ที่เพิร์ทมากขึ้น จึงมีความเปลี่ยนแปลง นักโทษอังกฤษที่มาอยู่ใหม่เป็นแรงงานสำคัญในการสร้างเมือง อังกฤษใช้นักโทษก่อสร้างถนน สะพาน และอาคารสำคัญๆ ที่เป็นสถานที่ราชการในปัจจุบัน เช่น ลอนดอนคอร์ต (London Court) และศาลาว่าการเมือง (Town Hall) เป็นต้น ต่อมาในปีค.ศ. 1856 เพิร์ทจึงได้รับการยกฐานะให้เป็นเมือง (City)


สถานที่เที่ยวในเพิร์ท


คิงส์ปาร์ก (Kings Park)


คิงส์ปาร์กเป็นสวนสาธารณะและสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ของเมืองเพิร์ท เป็นสวนสาธารณะแห่งเดียวของออสเตรเลียที่มีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองเพิร์ทเข้ามาเยี่ยมเยือนกันปีละมากกว่า 5 ล้านคน มีเนื้อที่กว้างขวางถึง 400 เอเคอร์ ครอบคลุมภูเขาอีไลซ่า (Mount Eilza) บนเขานั้นมีจุดชมวิวเมืองเพิร์ทและแม่น้ำสวอนเป็นอย่างดี





คิงส์ปาร์ก (Kings Park)


ลอนดอนคอร์ต (London Court)


ลอนดอนคอร์ตเป็นสัญลักษณ์ของเพิร์ทที่แพร่หลายไปทั่วโลก ลักษณะเด่นคือกลุ่มอาคารสีขาวหลังคาจั่วตกแต่งด้วยด้วยลายเส้นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1937 เป็นส่วนต่อเติมที่พักของ Claude de Bernales มหาเศรษฐีผู้เป็นนักธุรกิจการเงินและเจ้าของเหมือนทองในออสเตรเลียตะวันตก



ลอนดอนคอร์ต (London Court)


หอระฆังประจำเมือง (Swan Bells Tower)


หอระฆังที่บาร์แร็กสแควร์เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเพิร์ท หอระฆังนี้สร้างขึ้นเพื่อฉลองวาระครบรอบ 200 ปีของออสเตรเลีย โดดเด่นสะดุดตาด้วยยอดแหลมของหอที่ทำด้วยแก้วสูง 82.5 เมตร ตั้งอยู่ที่บาร์แร็กสแควร์ บนถนนริมแม่น้ำ (Riverside Drive) ห่างจากเฮย์สตรีทมอล์เพียงแค่เดินประมาณ 3-5 นาที




หอระฆังประจำเมือง (Swan Bells Tower)


สวนสัตว์เพิร์ท (Perth Zoo)


ที่นี่เป็นสวนสัตว์เปิดที่สัตว์ต่างๆ อยู่กันตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ทางฝั่งใต้ของเพิร์ทตรงข้างกับตัวเมือง จุดประสงค์แรกในการเปิดสวนสัตว์เมื่อปีค.ศ. 1898 คือใช้เป็นสถานที่แสดงดนตรีในวันสุดสัปดาห์ ปัจจุบันที่นี่เป็นบ้านของสัตว์จำนวนกว่า 1800 ตัว สัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์เพิร์ทนอกจากจะเป็นสัตว์ท้องถิ่น เช่น จิงโจ้ เคาล่า ดิงโก้ ตัวกินมด นกอีมู นกแก้ง นกมาคอร์ ฯลฯ ที่สวนสัตว์เพิร์ทแห่งนี้ยังนำสัตว์มาจากทุกมุมโลก เช่น ช้างจากเอเชีย อุรังอุตังกับเสือลายพาดกลอนจากสุมาตรา ยีราฟ แรดขาว สิงโต เมียแคต และไฮยีน่าจากทุ่งราบสะวันน่า นอกจากนี้ยังมีเสือชีต้าห์ กิ้งก่าชนิดต่างๆ แพนด้าสีแดง ฯลฯ



ตัวนัมแบท(Numbat) สัตว์กระเป๋าหน้าท้องของสวนสัตว์เพิร์ท


ขอจบเที่ยวเมืองเพิร์ท ตอนแรกเท่านี้ก่อนครับ โอกาสหน้าจะพาไปรู้จัก พิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียตะวันตก, หอศิลป์ออสเตรเลียตะวันตก, ศูนย์เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ และโลกใต้น้ำแห่งออสเตรเลียตะวันตก ครับ

ขอบคุณรูปภาพจาก wikipedia

http://en.wikipedia.org/wiki/Kings_Park,_Western_Australia
http://en.wikipedia.org/wiki/Swan_Bells

______________________________________________



จองตั๋วเครื่องบิน
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=naenglencomputer
http://ryusky.exteen.com/
http://gotoknow.org/blog/ryusky
http://learners.in.th/blog/ryusky
http://ryuskyt.blog.mthai.com/

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ออสเตรีย เมืองแห่งดนตรี

ออสเตรีย (Austria)

ออสเตรีย อยู่กลางทวีปยุโรป ติดกับประเทศเชโกสโลวะเกีย ฮังการี ยูโกสลาเวีย อิตาลี เยอรมันตะวันตก มีเนื้อที่ 83,848 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 8 ล้านคน นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีเวียนนาเป็นเมืองหลวง มีการปรกครองแบบระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ มี 8 รัฐ มีสภา 2 สภา มีประธานาธิบดี มีนายกรัฐมนตรี มีเวียนนาเป็นเมืองหลวง อาชีพหลักคือการทำกสิกรรม และพืชกสิกรรมที่สำคัญคือ ข้าวสาลี ข้าวไรย์ ข้าวบาเลย์ ข้างโอ๊ด ข้าวโพด มันฝรั่ง บีทหวาน แร่ที่สำคัญได้แก่ เหล็ก น้ำมัน อลูมิเนียม ถ่านหิน ถ่านลิกไนต์ ทองแดง ประเทศออสเตรียยังมีนักดนตรีที่มีชื่อเสียงเป็นตำนาน เช่น โมสาร์ต (Mozart) ชูเบิร์ต (Schubert) และ บีโธเฟ่น (Buthoven) เป็นต้น

เวียนนา (Vienna)

กรุงเวียนนา เป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย การเดินทางไปสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินโดยสายการบิน Eva Air หรือ สายการบิน Austrian Airlines บินตรงไป กรุงเวียนนา (Vienna) ได้

กรุงเวียนนา ตั้งอยู่บริเวณก้นกระทะเล็กๆ แห่งหนึ่งทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alps) มีแม่น้ำดานูบ (Danube) ไหลผ่าน มีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก



กรุงเวียนนา เป็นเมืองแห่งดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลก กล่าวกันว่า “ถ้าไม่มีดนตรีก็ไม่เหมือนมีเวียนนา” กรุงเวียนนา มีโรงละครชั้นหนึ่งของโลก 5 แห่ง มีโรงละครของเอกชนอีก 5 แห่ง มีโรงภาพยนตร์อีกร้อยกว่าแห่ง โรงละครที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดคือ โรงละครแห่งชาติ ในปีหนึ่งๆ จัดการแสดงละครเพลงชั้นเยี่ยมของโลกไม่ต่ำกว่า 300 รอบ โดยไม่ซ้ำกัน วงดนตรีที่เข้ามาบรรเลงในสถานที่แห่งนี้ ก็เป็นวงดนตรีชั้นเยี่ยมของโลก ราคาของบัตรเข้าชมนั้นก็แพงน่าใจหาย ราวๆ 4,000 – 5,000 บาท ราคาที่ถูกที่สุดยังราคาหลายร้อยบาท


โรงละครแห่งชาติในกรุงเวียนนา

กลางแม่น้ำดานูบ มีเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง มีพื้นที่ 2.5 ตารางกิโลเมตร ได้จัดสวนสนุกอยู่บนเกาะนี้โดยไม่เก็บค่าผ่านประตู มีเครื่องเล่นทุกชนิดที่คนสามารถเล่นได้ตามใจชอบ และมีกระเช้าที่สูงเท่ากับตึก 8 ชั้น ที่สามารถชมวิวกรุงเวียนนาได้


สวนสนุกเข้าฟรีในกรุงเวียนนา

พระราชวังเชินบรุนน์ สร้างขึ้นเมื่อตอนกลางของ ศตวรรษที่ 16 จากปราสาทโบราณเดิม “แคตเตอร์เบิร์ก” โดยพระเจ้าแมกซิมีเลียมที่ 2 ทรงโปรดให้สร้างเป็ยตำหนักชายป่า สำหรับล่าสัตว์ และพักร้อน ต่อจากนั้นอีกไม่นาน ตำหนักนั้นก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง โดยพวกเตอร์กที่รบรุกขึ้นมาจากทางใต้ จักรพรรดิลีโอโปลด์ จึงทรงให้สร้างพระราชวังขึ้นใหม่อย่างงดงามวิจิตร เพื่อให้เป็นพระราชวังฤดูร้อน โดยย่อแบบมาจากพระราชวังแวร์ซายสส์ ในฝรั่งเศส มีโจฮันน์ เบิร์นฮาร์ด ฟิสเซอร์ ฟอน เออร์ลาค เป็นสถาปนิกที่ออกแบบ


พระราชวังเชินบรุนน์ Schönbrunn Palace

นอกจากนั้น ส่วนรอบๆ พระราชวังโดยเฉพาะด้านหลังก็งดงามอย่างหาที่เปรียบได้ยาก มีการจัดแผนผังต้นไม้ดอกไม้อย่างสวยงาม แถมยังมีรูปปั้นกว่า 40 ชุด จากเทพนิยายกรีกและโรมัน แทรกอยู่ตามหมู่ไม้ ให้ผู้ชมได้ชื่นชมกับความงามตามธรรมชาติ และจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น


สวนต้นไม้และดอกไม้ในพระราชวังเชินบรุนน์


รูปปั้นจากเทพนิยายตามบริเวณหมู่ไม้

ขอจบเรื่องของออสเตรียแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ โอกาสหน้าจะพาไปรู้จักประเทศแห่งเบียร์ เยอรมนี (บอลโลกเค้าชนะออสเตรเลียตั้ง 4-0 แหนะ)


ขอบคุณรูปภาพจากเว็บ wikipedia
http://en.wikipedia.org/wiki/Sch%C3%B6nbrunn_Palace

และเครดิสคุณ อำนาจ เจริญศิลป์

____________________________________________________


จองตั๋วเครื่องบิน
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=naenglencomputer
http://ryusky.exteen.com/
http://gotoknow.org/blog/ryusky
http://learners.in.th/blog/ryusky
http://ryuskyt.blog.mthai.com/

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มารู้จักกรุงโรมในประเทศอิตาลีกัน

กรุงโรมในประเทศอิตาลี

หากพูดถึงอาหารของอิตาลี่ส่วนใหญ่จะนึกถึงสปาเกตตี กล่าวกันว่าสปาเกตตี คือ เส้นหมี่ที่มาร์โคโปโล นำมาจากประเทศจีน สปาเกตตี เป็นที่นิยมของชาวอิตาลีมาก จึงได้มีการคิดค้นทำเป็นอาหารกว่า 400 ชนิด อิตาลีเป็นประเทศที่ผลิตสปาเกตตีมากที่สุดในโลก เส้นเหนียว ต้มนานไม่เปลื่อย โดยใช่แป้งสาลีแข็ง ทำให้มีปริมาณไขมันสูง เป็นสินค้าส่งออกกว่าแสนตันต่อปี

กรุงโรม เป็นเมืองหลวงของอิตาลี หากต้องการเดินทางไปกรุงโรมสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินโดยสายการบินไทยบินตรงเข้ากรุงโรมได้

กรุงโรมมีพื้นที่ 200 กว่าตารางกิโลเมตร มีพลเมือง 2.9 ล้านคน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี สัญลักษณ์ของกรุงโรม คือ หมาป่าตัวเมียกับเด็กชาย 2 คน เด็ก 2 คน เป็นพี่น้องกัน ได้แก่ โรมิวลุส กับ เรมุส เล่ากันว่า ราวปี 752 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พ่อแม่ของคนคู่นี้ถูกคนร้ายฆ่าตาย และจับเด็กทั้ง 2 ใส่ตะกร้าโยนลงไปในแม่น้ำไทเบอร์ เมื่อตะกร้าลอยไปติดชายฝั่ง หมาป่าตัวหนึ่งมาพบเข้า จึงนำเด็ก 2 คนนี้ไปเลี้ยงจนโตด้วยน้ำนมของตน ต่อมานายพรานนำสองพี่น้องนี้ไปเลี้ยงดู และได้ฝึกวิชาการต่อสู้เพื่อแก้แค้นแทนพ่อแม่ หลังจากนั้นได้สร้างป้อมเมืองขึ้นบริเวณริมฝั่ง แม่น้ำไทเบอร์ ตั้งชื่อว่า “ป้อมโรมิวลุส” ซึ่งกลายเป็นชื่อ “โรม” ในปัจจุบัน




สัญลักษณ์ของกรุงโรม หมาป่าตัวเมียกับ 2 พี่น้อง โรมิวลุส กับ เรมุส

สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงโรม

โคลอสเซี่ยม

สนามโคลอสเซี่ยม เป็นสนามสู้สัตว์ ตั้งอยู่ท่ามกลางซากเมืองโบราณของกรุงโรมเก่าในพิธีฉลองเปิดสนามนั้นใช้เวลาถึง 100 วัน มีทาสและเชลยชาวยิว 30,000 คน ทำการต่อสู้กับสิงโต เสือ และสัตว์ที่ดุร้ายอีก 5,000 ตัว จนกระทั่งตายกันหมด


สนามโคลอสเซี่ยม

โบสถ์เซนต์ปีเตอร์

โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ เป็นศูนย์การนำของศาสนาโรมันคาทอลิก หลังคาเป็นรูปโดม สูง 138 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 210 เมตร ใช้เวลาในการสร้าง 120 ปี เฉลียงด้านหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม ใช้เสากลม 284 ต้น เสาเหลี่ยม 88 ต้น เสาแต่ละต้นสูง 19 เมตร ด้านบนมีรูปปั้นของเทพเจ้าต่างๆ ซึ่งมีความสูง 3.2 เมตร อยู่ 6 รูป



โบสถ์เซนต์ปีเตอร์

หอเอนเมืองปิซา

หอเอนเมืองปิซา เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี

หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา


หอเอนเมืองปิซา

หอเอนเมืองปิซา เป็นหอที่กาลิเลโอได้ทดลองเรื่องน้ำหนักของวัตถุ ที่ตกลงจากที่สูงลงมายังพื้นดินเป็นผลสำเร็จ

ผลิตภัณฑ์ในกรุงโรม

กรุงโรมมีโรงงานที่ผลิตเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปีหนึ่งๆ ใช้ทองคำเป็นวัตถุดิบไม่ต่ำกว่า 200 ตัน เครื่องประดับต่างๆ ของกรุงโรมเป็นหัตถกรรมที่ยอดเยี่ม มีรูปแบบที่สวยงามและพิสดาร อย่างเช่น สร้อยคอ 1 เส้น สามารถแยกออกเป็นกำไลข้อมือได้ หรือทำเป็นเข็มกลัดเสื้อก็ได้ ผลิตภัณฑ์ส่วนมากส่งไปขายยังประเทศในตะวันออกกลาง

รองเท้าหนังของอิตาลีเป็นรองเท้าอันดับหนึ่งของโลก คุณสมบัติพิเศษคือน้ำหนักเบา สวมสบาย ลวดลายสวยและไม่มีกลิ่นเหม็น อิตาลีเคยมีรายได้จะการส่งออกไม่ต่ำกว่า 4 พันเหรียญสหรัฐอเมริกาต่อปี แต่ระยะหลังรองเท้าหนังราคาถูกจาก ฮ่องกง เกาหลี และใต้หวัน ได้รับความนิยมมากกว่า จึงทำให้โรงงานรองเท้าหนังบางร้านต้องปิดกิจการ

ร้านค้าในยุโรปมีวิธีจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าอีกแบบคือ ทางร้านได้พานักท่องเที่ยวทั้งหมดไปดูโรงงานผลิตสินค้าของตนเสียก่อน และแสดงวิธีทำด้วยแล้วก็จะพาไปดูตู้โชว์ ไปดูสินค้า คนขายก็จะออกมาประจำที่พร้อมที่จะขายสินค้าเหล่านั้น นับว่าเป็นวิธีการขายสินค้าได้ดีแบบหนึ่ง


ขอจบเรื่องอิตาลีแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ ว่างๆจะมาลงเรื่องประเทศออสเตรียให้อ่านกันครับ (พรุ่งนี้มีบอลโลกเน้ออออออ ^o^)


แถมท้ายด้วยภาพสถานที่สวยๆจากกรุงโรม


เมือง Pompeii ในอิตาลีที่เคยถูกภูเขาไฟ Vesuvius ระเบิดทำลาย


สถาปัตยกรรม น้ำพุ Trevi Fountain




______________________________________________________


ขอบคุณสำหรับข้อมูลเรื่องหอเอนเมืองปิซาจาก wikipedia
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B8%B2

และเครดิสคุณ อำนาจ เจริญศิลป์

จองตั๋วเครื่องบิน
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=naenglencomputer
http://ryusky.exteen.com
http://gotoknow.org/blog/ryusky
http://learners.in.th/blog/ryusky
http://ryuskyt.blog.mthai.com

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สถานที่เที่ยวฟินแลนด์

สถานที่เที่ยวฟินแลนด์
ฟินแลนด์ไม่ได้มีดีแค่เป็นดินแดนซานตาคลอสแห่งสแกนดิเนเวีย ฟินแลนด์ยังเป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และกิจกรรมฤดูหนาว โดยอาจเริ่มต้นการเดินทางจองตั๋วเครื่องบินไปลงกรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) เมืองหลวงแสนสวยเจ้าของสมญานามว่า “ธิดาแห่งทะเลบอลติก” ด้วยเหตุที่สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่ภายในเมืองมีการผสมผสานกันอย่างลงตัว ระหว่างสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่งดงามและสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ทั้งยังตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่เกาะมากมายในทะเลบอลติก โดยมีจัตุรัสซีเนท (Senaatintori หรือ Senate Square) เป็นสัญลักษณ์ของเมือง และโบสถ์หินเทมเปอเลียวคิโอ (Temppeliaukion Kirkk หรือ Temppeliaukio Church) ผลงานการก่อสร้างอันอลังการ ด้วยการขุดโพรงหินแกรนิตขนาดใหญ่ และตกแต่งภายในด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่


จัตุรัสซีเนท (Senaatintori หรือ Senate Square)

โบสถ์หินเทมเปอเลียวคิโอ (Temppeliaukion Kirkk หรือ Temppeliaukio Church)
เพื่อให้เข้าถึงการเดินทางท่องเที่ยวดินแดนใกล้ขั้วโลกเหนืออย่างฟินแลนด์ ควรระบุกิจกรรมท่องเที่ยวฤดูหนาว อาทิ การชมแสงเหนือ (Northern Lights) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสุดพิเศษที่จะปรากฏให้เห็นบริเวณเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนของดินแดนในแถบอาร์กติกแห่งเดียวเท่านั้น
แสงเหนือ (Northern Lights)
การล่องเรือตัดน้ำแข็ง (Icebreaker) ซึ่งจะเริ่มต้นจากเคมิ (Kemi) เมืองสไตล์ฟินนิชสู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
เรือตัดน้ำแข็ง (Icebreaker)
ฤดูแห่งการท่องเที่ยวฟินแลนด์
ธันวาคม-มกราคม เทศการแห่งความสุขช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ในแถบขั้วโลกเหนือ เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย มีโอกาสชมแสงออโรร่าที่สุด
กุมภาพันธ์-เมษายน กิจกรรมฤดูหนาว อากาสดีที่สุด ไม่หนาวเกินไปและฟ้าใสมาก
ปลายเดือนพฤษภาคม-ต้นเดือนสิงหาคม ชมความมหัศจรรย์ของพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่แลปแลนด์
กันยายน-พฤศจิกายน ชมความงามของฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสี

การท่องเที่ยว
หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวฟินแลนด์ให้ครบ จากเหนือจรดใต้ควรใช้เวลาประมาณ 8-10 วัน แต่หากต้องการเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้
- กรุงเฮลซิงกิและเมืองรอบๆ ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เมืองตรุกุ (เมืองหลวงเก่า) ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เมืองโรวาเนียมิ (บ้านซานตาคลอส) รวมเมืองเคมิ ล่องเรือตัดน้ำแข็ง ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เมืองอิวาโล ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือกิจกรรมในช่วงฤดูหนาว ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เขตดินแดนแห่งทะเลสาบ (Thousand Lakes) ในเขตแลปปีนรันตา ควรใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
Thousand Lakes
การเดินทางไปฟินแลนด์
ผู้เดินทางสามารถจองตั๋วเครื่องบินเดินทางโดยสายการบิน Finnair บินตรงเข้ากรุงเฮลซิงกิ (Helsinki) ได้
________________________________________________

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การท่องเที่ยวนอร์เวย์

การเดินทางไปนอร์เวย์
ผู้เดินทางสามารถจองตั๋วเครื่องบินเดินทางโดยสายการบินไทยบินตรงเข้ากรุงออสโล (Oslo) ได้

สถานที่เที่ยวนอร์เวย์
สำหรับสมญานาม “ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน” ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของการท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด ดังนั้นการเดินทางท่องเที่ยวจึงควรไปสถานที่ที่สามารถชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้อย่างชัดเจนและสวยงามที่สุดอย่างนอร์ทเคป (North Cape) ซึ่งนอกจากจะสัมผัสความสวยงามของพระอาทิตย์เที่ยงคืนแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ไทย ที่ตั้งอยู่บนจุดเหนือสุดของโลก จัดแสดงพระราชกรณียกิจในการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้ศึกษาอย่างใกล้ชิด
นอกจากนั้นไม่ควรพลาดการล่องเรือชมความงดงามทางธรรมชาติของฟยอร์ดอันเลื่องชื่ออย่างเกรังเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) โดยสามารถล่องเรือจากท่าของเมืองเฮเลซุลท์ (Hellesylt) ชมความงดงามและยิ่งใหญ่ของประติมากรรมทางธรรมชาติแห่งดินแดนทางเหนือของโลก




ธานน้ำแข็งหรือกลาเซียร์ (Glacier)






เมืองเฮเลซุลท์ (Hellesylt)


นอร์เวย์ยังมีอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจ กับฟลอมสบานา (Flamsbana) รถไฟสายโรแมนติกตามเส้นทางสายน้ำตก สัมผัสอีกหนึ่งบรรยากาศของการเดินทางที่มีขื่อเสียงที่สุดของนอร์เวย์ โดยระหว่างทางจะแวะให้เก็บภาพ Kjosfossen น้ำตกอันตระการตา ซึ่งเกิดจากการลอยตัวของหิมะ และเมืองแสนสวยตามเส้นทาง



น้ำตก Kjosfossen


ฤดูแห่งการท่องเที่ยวของนอร์เวย์
ธันวาคม-มกราคม เทศกาลแห่งความสุขช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ในแถบขั้วโลกเหนือดุจดินแดนแห่งความฝัน ทางเหนือมีโอกาสชมแสงออโรร่าที่สุด

กุมภาพันธ์-เมษายน กิจกรรมฤดูหนาว อากาศดีที่สุด ไม่หนาวเกินไปและฟ้าใสมาก

ปลายพฤษภาคมต้นสิงหาคม ชมความมหัสจรรย์ของพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่นอร์ทเคป

กันยายน-พฤศจิกายน ชมความงามของฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสี

การท่องเที่ยว
หากต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวนอร์เวย์ให้ครบ จากเหนือจรดใต้ควรใช้เวลาประมาณ 8-12 วัน แต่หากต้องการท่องเที่ยวแบบเจาะลึกตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้
- กรุงออสโลและเมืองรอบๆ ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เมืองเบอร์เกน (เมืองหลวงเก่า) ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- หมู่เกาะโลโพเตน รวมล่องเรือชมเกาะ ควรใช้เวลาประมาณ 2-4 วัน







หมู่เกาะโลโพเตน (Lofoten Islands)

- นอร์ทเคป ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน หรือกิจกรรมในช่วงฤดูหนาว ควรใช้เวลาประมาณ 2 วัน
- เขตดินแดนแห่งฟยอร์ด ซากเนอฟยอร์ด และเกรังเกอร์ฟยอร์ด ควรใช้เวลาประมาณ 2-4 วัน



__________________________________



จองตั๋วเครื่องบิน
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=naenglencomputer
http://ryusky.exteen.com
http://gotoknow.org/blog/ryusky
http://learners.in.th/blog/ryusky
http://ryuskyt.blog.mthai.com